How to Play (วิธีการเล่น)
How to Play and How to Win (วิธีการเล่นและวิธีการชนะ)
การละเล่นใน 1 เกม จะเรียกว่า 1 ดูเอล การดูเอลนั้นจะจบลงได้จะต้องมีผู้ที่ชนะหรือเกิดการเสมอเกิดขึ้น การดูเอลนั้นจะเล่นกัน 2-3 ครั้ง โดยจะเรียกว่า แมตช์ ผู้ที่ชนะ 2 ใน 3 จะถือว่าเป็นผู้ชนะแมตช์
Winning the Duel (การชนะในดูเอล)
ผู้เล่นทุกคนจะมีไลฟ์พ็อยต์เริ่มต้นคือ 8,000 จุด เราจะสามารถชนะคู่ต่อสู้โดยทำให้ไลฟ์พ็อยต์ของคู่ต่อสู้นั้นเป็น 0 หรือ คู่ต่อสู้ไม่มีการ์ดจากเด็คของตัวเองให้จั่ว (เด็คหมด) หรืออาจจะมีเอฟเฟคการ์ดพิเศษที่จะสามารถชนะในดูเอลนั้นๆ ได้ ถ้าเรากับคู่ต่อสู้มีไลฟ์พ็อยต์เป็น 0 พร้อมกัน จะนับว่าเสมอ
Turn Structure (โครงสร้างของเทิร์น)
การดูเอลนั้นจะมีเฟสแต่ละเฟสครอบคลุมอยู่ในหลายๆ เฟส
Turns (เทิร์น)
ในระหว่างดูเอลนั้น ผู้เล่นจะมีเทิร์นของตัวเอง และในแต่ละเทิร์นจะประกอบด้วยเฟสหลักๆ 6 เฟส
Phase (เฟส)
เราจะเข้าสู่เฟสที่กำหนดในเทิร์นของตัวเอง เราสามารถทำกิจกรรมหลายๆอย่างตามที่เฟสแต่ละเฟสได้กำหนดไว้ โดยเฟสหลักจะประกอบด้วย
1. Draw Phase (ดรอว์เฟส)
นี่คือเฟสแรกของทุกเฟสและเป็นจุดเริ่มต้นของเทิร์นของผู้เล่น โดยผู้เล่นผู้นั้นต้องทำการจั่วการ์ดใบบนสุดของเด็คตัวเอง 1 ใบ ผู้เล่นที่ไม่มีการ์ดในเด็คหลงเหลืออยู่ให้ทำการจั่วจะถูกปรับให้แพ้ในการดูเอลนั้น และหลังจากที่ผู้เล่นทำการจั่วเสร็จผู้เล่นสามารถใช้งานเวทย์มนต์, กับดัก หรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนไปยังเฟสถัดไปได้
Main Action (กิจกรรมหลัก) = จั่วการ์ด 1 ใบ
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ) = ใช้งานเวทย์มนต์ความเร็วสูง, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
2. Standby Phase (สแตนด์บายเฟส)
จะมีการ์ดบางใบหรือเอฟเฟคบางชนิดที่จะทำงานในเฟสนี้ และผู้เล่นสามารถใช้งานการ์ดกับดัก, การ์ดเวทย์มนต์ความเร็วสูง หรือเอฟเฟคมอนสเตอร์ได้ในเฟสนี้
Main Action (กิจกรรมหลัก) = เลือกทำตามเงื่อนไขของเอฟเฟค
การ์ดที่เกิดขึ้นในเฟสนี้
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ) = ใช้งานเวทย์มนต์ความเร็วสูง, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
3. Main Phase 1 (เมนเฟส 1)
เฟสนี้เป็นเฟสที่ผู้เล่นจะสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ในรูปแบบต่างๆลงสู่สนาม หรือทำการเปลี่ยนรูปแบบสภาพของมอนสเตอร์ว่าจะเป็นหงายหน้าตั้งโจมตีหรือทำการอัญเชิญแบบพลิกหงาย และผู้เล่นก็จะสามารถใช้งานเวทย์มนต์รวมถึงการเซ็ตเวทย์มนต์กับดักไว้ที่โซนเวทย์มนต์กับดัก เป็นต้น
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ)
• Summon or Set a Monster (อัญเชิญหรือเซ็ตมอนสเตอร์)
ไม่มีการจำกัดของการอัญเชิญแบบพลิกหงายหรือการอัญเชิญแบบพิเศษต่อเทิร์น แต่ผู้เล่นสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์หรือทำการเซ็ตมอนสเตอร์ได้เพียง 1 ครั้งต่อเทิร์น เว้นแต่จะมีเอฟเฟคการ์ดบางชนิดที่ทำให้เราทำข้อจำกัดที่ว่านี้ได้อีกครั้ง
• Change Monster Battle Position (เปลี่ยนรูปแบบสถานะมอนสเตอร์)
ผู้เล่นสามารถทำการเปลี่ยนรูปแบบสถานะมอนสเตอร์ของตัวเอง เช่น จากหงายหน้าตั้งโจมตีเป็นหงายหน้าตั้งป้องกัน, จากหงายหน้าตั้งป้องกันเป็นหงายหน้าตั้งโจมตี และ จากคว่ำหน้าตั้งป้องกันเป็นหงายหน้าตั้งโจมตี (อัญเชิญแบบพลิกหงาย)
* การเปลี่ยนรูปแบบสถานะของมอนสเตอร์จะมีข้อจำกัดดังนี้ *
- ผู้เล่นจะไม่สามารถทำการเปลี่ยนรูปแบบมอนสเตอร์ที่เพิ่งทำการอัญเชิญทุกรูปแบบในเทิร์นที่ได้ทำการอัญเชิญนั้นๆ
- ผู้เล่นจะไม่สามารถทำการเปลี่ยนรูปแบบมอนสเตอร์ที่ประกาศโจมตีไปแล้วในเทิร์นนั้นๆ
- ผู้เล่นจะไม่สามารถทำการเปลี่ยนรูปแบบมอนสเตอร์ตัวที่เพิ่งทำการเปลี่ยนรูปแบบไปแล้วในเทิร์นนั้นๆ
• Activate a Card or Card Effect (ใช้งานการ์ดหรือใช้งานเอฟเฟคการ์ด) ผู้เล่นสามารถใช้งานเวทย์มนต์, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์ ได้อย่างอิสระในเฟสนี้
• Set Spell Cards or Trap Cards (เซ็ตการ์ดเวทย์มนต์หรือกับดัก) ผู้เล่นสามารถเซ็ตการ์ดเวทย์มนต์หรือกับดักวางลงบนช่องโซนเวทย์มนต์กับดักได้อย่างอิสระในเฟสนี้
4. Battle Phase (แบทเทิลเฟส)
ในเฟสนี้คือเฟสที่ผู้เล่นจะสั่งการมอนสเตอร์ของตัวเองทำการต่อสู้ ผู้เล่นไม่จำเป็นจะต้องเข้าแบทเทิลเฟสในทุกๆ เทิร์น หากผู้เล่นไม่เข้าแบทเทิลเฟส จะผ่านไปเข้าสู่เอนด์เฟสโดยอัตโนมัติ
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ) = โจมตีไลฟ์ผู้เล่นโดยตรงหรือทำการต่อสู้กับมอนสเตอร์ ใช้งานเวทย์มนต์ความเร็วสูง, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
ในแบทเทิลเฟสจะแบ่งเป็นเฟสย่อยๆ 4 เฟส ดังนี้
4.1 Start Step (สตาร์ทสเต็ป)
ในสเต็ปนี้จะเป็นจุดเริ่มของแบทเทิลเฟส ผู้เล่นควรจะประกาศเข้าแบทเทิลเฟสก่อนจะทำการแบทเทิลทุกครั้ง ทั้งนี้ผู้เล่นที่เป็นฝ่ายเริ่มเล่นก่อนนั้นจะไม่สามารถเข้าแบทเทิลเฟสได้ในเทิร์นแรก
4.2 Battle Step (แบทเทิลสเต็ป)
ในเฟสนี้ผู้เล่นสามารถทำการสั่งมอนสเตอร์ของตัวเองต่อสู้กับมอนสเตอร์หรือโจมตีไลฟ์พ็อยต์ผู้เล่นโดยตรงได้ โดยเลือกมอนสเตอร์ของตัวเอง 1 ตัว จากนั้นเลือกมอนสเตอร์บนสนามของคู่ต่อสู้ 1 ตัวเป็นเป้าหมาย หลักจากนั้นให้ประกาศโจมตี ในกรณีที่คู่ต่อสู้ไม่มีมอนสเตอร์หลงเหลืออยู่บนสนามเลย ผู้เล่นจะสามารถประกาศโจมตีไลฟ์พ็อยต์โดยตรงได้ ทั้งนี้มอนสเตอร์แต่ละตัวจะสามารถประกาศโจมตีได้ตัวละ 1 ครั้ง ใน 1 แบทเทิลเฟสต่อเทิร์น เว้นแต่จะมีเอฟเฟคการ์ดช่วยให้ทำการโจมตีอีกครั้งหนึ่งได้
4.3 Damage Step (ดาเมจสเต็ป)
ในเฟสนี้เป็นเฟสที่จะคำนวณค่าเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้เล่นและมอนสเตอร์
4.4 End Step (เอนด์สเต็ป)
หลังจากที่ผู้เล่นได้ทำการประกาศโจมตีเสร็จแล้วหรือไม่มีมอนสเตอร์ที่จะทำการประกาศโจมตีอีกให้ผู้เล่นประกาศกับคู่ต่อสู้ว่าตนจะจบแบทเทิลเฟสแต่เพียงเท่านี้
5. Main Phase 2 (เมนเฟส 2)
ถ้าผู้เล่นทำการเข้าแบทเทิลเฟสในเทิร์นนั้นจะมี เมนเฟส 2 ต่อเข้ามาทันทีหลังจากผ่านจากการจบแบทเทิลเฟสไปกิจกรรมที่สามารถกระทำได้ในเฟสนี้จะเหมือนกับเมนเฟส 1 ทุกประการ
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ)
• อัญเชิญ, เซ็ต หรืออัญเชิญแบบพิเศษมอนสเตอร์
• เปลี่ยนรูปแบบสภาพของมอนสเตอร์
• ใช้งานการ์ดเวทย์มนต์, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
• เซ็ตการ์ดเวทย์มนต์หรือกับดักลงไปในโซนเวทย์มนต์กับดัก
6. End Phase (เอนด์เฟส)
เฟสนี้เป็นเฟสสุดท้ายและเป็นจุดสิ้นสุดของการเทิร์น และถ้ามีเอฟเฟคประเภททริกเกอร์ที่เกิดขึ้นในเอนด์เฟสจะทำงานในช่วงนี้ และถ้าผู้เล่นเจ้าของเทิร์นมีการ์ดบนมือมากกว่า 6 ใบในช่วงสิ้นสุดของเอนด์เฟส ผู้เล่นต้องเลือกการ์ดบนมือทิ้งลงสุสานจนกว่าการ์ดบนมือจะเท่ากับ 6 ใบ
Main Action (กิจกรรมหลัก) = เลือกทำตามเงื่อนไขของเอฟเฟคการ์ด
ที่เกิดขึ้นในเฟสนี้
เลือกทิ้งการ์ดบนมือให้เท่ากับ 6 ใบ หากเจ้าของเทิร์นมีการ์ดบนมือมากกว่า 6 ใบ
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ) = ใช้งานเวทย์มนต์ความเร็วสูง, กับดัก หรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
Battle and Chains (การต่อสู้และการเชน)
Damage Step Rules (กฎดาเมจสเต็ป)
ในช่วงของดาเมจสเต็ปนั้นจะมีการ์ดในจำนวนหลายประเภทที่ถูกกำจัดการใช้งาน การ์ดกับดักเคาท์เตอร์ จะสามารถใช้งานได้ปกติ แต่ในส่วนของการ์ดเวทย์มนต์ความเร็วสูงหรือการ์ดกับดักปกติและต่อเนื่องจะสามารถใช้งานได้ในดาเมจสเต็ปได้ก็ต่อเมื่อ เป็นการ์ดที่มีผลต่อค่าเพิ่มลดพลังโจมตีหรือพลังป้องกันเท่านั้น
Attacking a Face Down Card (การโจมตีใส่มอนสเตอร์คว่ำหน้าป้องกัน)
หากเราโจมตีใส่มอนสเตอร์ในสภาพตั้งป้องกัน ให้เปลี่ยนสภาพมอนสเตอร์ตัวที่ถูกโจมตีจากสภาพคว่ำหน้าตั้งป้องกันเป็นสภาพหงายหน้าตั้งป้องกันในตอนดาเมจสเต็ป เราจะได้เห็นค่าพลังป้องกันของมอนสเตอร์ที่ถูกโจมตี และหลังจากนั้นเป็นการคำนวณดาเมจ
Activate Reverse Effect (ใช้งานเอฟเฟครีเวิร์ส)
เมื่อมอนสเตอร์ถูกโจมตีและถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสภาพหงายหน้า เอฟเฟครีเวิรส สามารถทำงานได้และจะทำงานในช่วงคิดคำนวณดาเมจ
Determine Damage (วัดค่าดาเมจ)
การวัดค่าดาเมจขั้นพื้นฐานจะอยู่ที่ ดาเมจจากการต่อสู้ และจะดูจากสภาพรูปแบบการต่อสู้ของมอนสเตอร์ หรือ Battle Position
1. ถ้าเราโจมตีมอนสเตอร์ในสภาพหงายหน้าตั้งโจมตี จะทำการเปรียบเทียบ พลังโจมตี VS พลังโจมตี
2. ถ้าเราโจมตีมอนสเตอร์ในสภาพตั้งป้องกัน ก็จะทำการเปรียบเทียบ พลังโจมตี VS พลังป้องกัน
When You Attack an Attack Position Monster
(เมื่อเราทำการโจมตีมอนสเตอร์ในรูปแบบตั้งโจมตี)
Win (ชนะ)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเรามากกว่าพลังโจมตีของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ มอนสเตอร์ที่ทำการโจมตีจะทำลายมอนสเตอร์ของคู่ต่อสู้และนำส่งไปยังสุสาน โดยส่วนต่างของพลังโจมตีที่มากกว่าจะนำไปหักกับไลฟ์พ๊อยต์ของคู่ต่อสู้
Tie (เสมอ)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเรามีค่าเท่ากับพลังโจมตีของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเสมอ และมอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัวนี้จะถูกทำลายและนำส่งไปยังสุสาน ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ได้รับแบทเทิลดาเมจในกรณีนี้
Lose (แพ้)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเราน้อยกว่าพลังโจมตีของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ มอนสเตอร์ที่มีพลังโจมตีน้อยกว่าจะถูกทำลายจากการต่อสู้และถูกนำส่งไปยังสุสาน โดยส่วนต่างของพลังโจมตีที่มากกว่าจะนำไปหักกับไลฟ์พ๊อยต์ของเรา
When You Attack a Defense Position Monster
(เมื่อเราทำการโจมตีมอนสเตอร์ในรูปแบบตั้งป้องกัน)

Win (ชนะ)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเรามากกว่าพลังป้องกันของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้มอนสเตอร์ที่มีทำการโจมตีจะทำลายมอนสเตอร์ของคู่ต่อสู้และนำส่งไปยังสุสาน ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ได้รับแบทเทิลดาเมจในกรณีนี้
Tie (เสมอ)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเรามีค่าเท่ากับพลังป้องกันของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเสมอ มอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัวนี้จะไม่ถูกทำลาย ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ได้รับแบทเทิลดาเมจในกรณีนี้
Lose (แพ้)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเราน้อยกว่าพลังป้องกันของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ในกรณีนี้มอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัวนี้ จะไม่ถูกทำลาย โดยส่วนต่างของพลังป้องกันที่มากกว่าจะนำไปหักกับไลฟ์พ๊อยต์ของเรา
If Your Opponent has no Monster (ถ้าคู่ต่อสู้ไม่มีมอนสเตอร์)
หากคู่ต่อสู้ไม่มีมอนสเตอร์หลงเหลืออยู่บนสนามของตนเองเลย เราจะสามารถโจมตีไลฟ์คู่ต่อสู้ได้โดยตรง โดยจะนำค่าพลังโจมตีของมอนสเตอร์ที่ทำการโจมตีโดยตรงไปหักกับไลฟ์พ๊อยต์คู่ต่อสู้
What is a Chain? (เชนคืออะไร?)
เชนคือสิ่งที่สามารถบ่งบอกลำดับของผลลัพธ์ของเอฟเฟคการ์ดต่างๆ ได้ จะพบเห็นได้จากสถานการณ์ที่มีการใช้งานเอฟเฟคการ์ดมากกว่า 1 ใบ หรือ เมื่อผู้เล่นต้องการใช้เอฟเฟคการ์ดขั้นระหว่างเอฟเฟคการ์ดใบอื่นที่ยังไม่สำเร็จผลนี่เอง
เมื่อเรามีการใช้งานของเอฟเฟคการ์ดเกิดขึ้น คู่ต่อสู้จะได้สิทธิ์ในการใช้เอฟเฟคการ์ดโต้ตอบได้เสมอ โดยนับว่าเป็นการสร้างเชน หากมีการตอบสนองเกิดขึ้น สิทธิ์ในการเชนก็จะโอนมาที่ตัวเรา และเราก็จะสามารถใช้เอฟเฟคการ์ดเชนต่อได้อีก เมื่อใดที่ผู้เล่นที่ได้รับสิทธิ์ไม่ได้ทำการเชนต่อ ผู้ที่ทำการเชนครั้งล่าสุดจะสามารถเชนเอฟเฟคการ์ดของตนเองต่อได้ ถ้าไม่มีการเชนใดๆ ต่อจากนี้ เอฟเฟคการ์ดจะดำเนินตามเชน โดยจะเริ่มทำการคำนวณผลโดยเริ่มจากเชนสุดท้ายไปยังเชนเริ่มต้นตามลำดับ
เราจำเป็นต้องถามคู่ต่อสู้ก่อนเสมอว่าจะเชนการ์ดเอฟเฟคของเราต่อหรือไม่ ถ้าไม่มีการเชนต่อเราจะสามารถเชนการ์ดของตัวเองต่อได้ หรือทำการ สรุปผลในเอฟเฟคการ์ดนั้นๆ
Spell Speed (สเปล สปีด)
เอฟเฟคของการ์ดทุกชนิดจะมี Spell Speed ระหว่าง 1 – 3 ถ้าเราต้องการจะตอบโต้เอฟเฟคการ์ดในเชนนั้นๆ เราจำเป็นต้องใช้เอฟเฟคการ์ดที่มี Spell Speed 2 หรือมากกว่า และจะไม่สามารถเชนการ์ด Spell Speed ที่มีความเร็วต่ำกว่า Spell Speed ที่รอผลตอบรับในเชนนั้นๆ ได้
การ์ดเวทย์มนต์, การ์ดกับดัก หรือเอฟเฟคมอนสเตอร์จะมี Spell Speed ที่แตกต่างกันออกไป Spell Speed จะมีความเร็ว 1 – 3 เราจะสามารถทำการโต้ตอบเอฟเฟคของการ์ด ด้วยเอฟเฟคการ์ดที่มี Spell Speed ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป และต้องมีค่าความเร็วเท่ากับหรือมากกว่า Spell Speed ที่รอการตอบรับนั้นๆ
1. Spell Speed 1
ตัวอย่างการ์ดใน Spell Speed 1
• การ์ดเวทย์มนต์ปกติ
• การ์ดเวทย์มนต์สวมใส่
• การ์ดเวทย์มนต์ต่อเนื่อง
• การ์ดเวทย์มนต์ฟีลด์
• การ์ดเวทย์มนต์พิธีกรรม
• เอฟเฟครีเวริส
• เอฟเฟคสั่งใช้งาน
• เอฟเฟคทริกเกอร์
Spell Speed 1 เป็นความเร็วที่ต่ำที่สุดในบรรดา Spell Speed ทั้งหมด การ์ดประเภทนี้จะไม่สามารถทำการใช้งานเพื่อทำการโต้ตอบเอฟเฟคการ์ดต่างๆ ในเชนได้ หรือจะไม่สามารถอยู่ในเชน 2 หรือมากกว่าได้ เว้นแต่จะเกิดเอฟเฟคของการ์ดที่สามารถใช้งานการ์ดที่มี Spell Speed 1 เกิดขึ้นพร้อมกันหลายๆ ไปได้นี่เอง
2. Spell Speed 2
ตัวอย่างการ์ดใน Spell Speed 2
• การ์ดกับดักปกติ
• การ์ดกับดักต่อเนื่อง
• การ์ดเวทย์มนต์ความเร็วสูง
• เอฟเฟคมอนสเตอร์ประเภทควิก
3. Spell Speed 3 (การ์ดกับดักเคาท์เตอร์)
การ์ดประเภทนี้จะสามารถใช้งานเพื่อโต้ตอบการ์ดที่มีความเร็วเป็น Spell Speed 1 หรือ Spell Speed 2 และจะสามารถใช้งานได้นอกเหนือจากเมนเฟส
Spell Speed 3 เป็นการ์ดที่มีความเร็วสูงสุดในบรรดา Spell Speed ทั้งหมด และสามารถใช้งานเพื่อโต้ตอบการ์ดได้
ในทุกๆ Spell Speed โดยที่การ์ดในบรรดา Spell Speed 3 จะสามารถใช้งานเพื่อการโต้ตอบการกระทำของคู่ต่อสู้โดยเฉพาะ
How to Chain Works (เชนดำเนินการอย่างไร)
Example of a Chain (ตัวอย่างของการการเชน)
ผู้เล่น A ใช้งานการ์ด [พายุใหญ่] และ ผู้เล่น B จึงโต้ตอบโดยการใช้งานการ์ด [โถแห่งความโลภ] ซึ่งใช้งานจากบนสนามในสภาพเซ็ต จากนั้น ผู้เล่น A โต้ตอบโดยใช้งานการ์ด [เครื่องมือ 7 ชนิด ของจอมโจร] ทำให้ การ์ด [โถแห่งความโลภ] ของ ผู้เล่น B ไร้ผลและถูกทำลายทิ้ง
Chain Link 3
เครื่องมือ 7 ชนิด ของจอมโจร : ทำให้การใช้งานของ โถแห่งความโลภไร้ผลและทำลายทิ้ง (Spell Speed 3)
Chain Link 2
โถแห่งความโลภ : จั่วการ์ด 1 ใบ จากในเด็คของเรา (Spell Speed 2)
Chain Link 1
พายุใหญ่ : ทำลายการ์ดเวทย์มนต์และกับดักทั้งหมดบนสนาม
[เครื่องมือ 7 ชนิด ของจอมโจร] ซึ่งเป็นเชนอันดับที่ 3 จะทำการประมวลผลก่อน ผลคือทำให้การใช้งานของ [โถแห่งความโลภ] ถูกทำให้ไร้ผลและทำลายทิ้ง
[โถแห่งความโลภ] ซึ่งเป็นเชนอันดับที่ 2 จะออกผลต่อ แต่ทว่า [เครื่องมือ 7 ชนิด ของจอมโจร] ได้ทำการ ทำให้ [โถแห่งความโลภ] เอฟเฟคไร้ผล ผู้เล่น B จึงจะไม่สามารถทำการจั่วการ์ดจากเอฟเฟคของ [โถแห่งความโลภ] ได้ เนื่องจาก การใช้งานถูกทำให้ไร้ผล
[พายุใหญ่] ซึ่งเป็นอันดับแรกของเชน จะทำงานในช่วงนี้ การ์ดเวทย์มนต์และกับดักทั้งหมดบนสนาม จะถูกทำลายด้วยผลของพายุใหญ่
Turn Player‘s Priority (สิทธิ์เจ้าของเทิร์น)
ผู้เล่นเจ้าของเทิร์นจะมีสิทธิ์ในการใช้งานการ์ดได้ก่อนเสมอ ในแต่ละสเต็ปหรือแต่ละเฟสในเทิร์นของเจ้าของเทิร์น ตราบเท่าที่ผู้เล่นผู้นั่นครอบครองสิทธิ์อยู่ คู่ต่อสู้จะไม่สามารถทำการใช้เอฟเฟคการ์ดหรือทำการใช้งานการ์ดได้จนกว่าเราจะโอนสิทธิ์ให้แก่คู่ต่อสู้ โดยไม่นับเอฟเฟคที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติเช่น เอฟเฟคทริกเกอร์ หรือ เอฟเฟครีเวิร์ส รวมถึงการขอสิทธิ์ในการเชนการ์ดของคู่ต่อสู้การมีสิทธิ์เจ้าของเทิร์นจะสามารถทำการกระทำดังต่อไปนี้ได้
• ใช้สิทธิ์ในการใช้งานการ์ดหรือใช้เอฟเฟคการ์ดก่อนที่คู่ต่อสู้จะโต้ตอบด้วยเอฟเฟคการ์ด
โอนสิทธิ์ให้แก่คู่ต่อสู้ จากนั้นคู่ต่อสู้จะสามารถใช้งานการ์ดหรือใช้การ์ดเอฟเฟคได้
• ผู้เล่นเจ้าของเทิร์นจำเป็นต้องโอนสิทธิ์ให้แก่คู่ต่อสู้เสมอเมื่อเราทำการจบสเต็ปหรือในขณะที่กำลังจะดำเนินการไป ยังเฟสถัดไปหากคู่ต่อสู้ไม่ได้กระทำการใดๆเลย หรือทำการตอบสนองโดยการใช้งานการ์ดหรือใช้เอฟเฟคการ์ด ในช่วงนี้ ก็ให้ดำเนินการไปจนจุดสำเร็จผล และเมื่อเข้าช่วงเริ่มต้นของเฟสถัดไปหรือในช่วงเริ่มของสเต็ปใหม่ๆ สิทธิ์เจ้าของเทิร์นจะกลับมายังเจ้าของเทิร์นตามเดิม
Other Rules (กฎอื่นๆ)
Limited Cards (การ์ดที่ถูกจำกัดในเด็ค)
ตามปกติการ์ดในเด็คของเรา (รวมถึงการ์ดในเอ็คซ์ตร้าเด็คและไซด์เด็ค) เราจะสามารถทำการใส่การ์ดชื่อซ้ำกันได้ไม่เกิน 3 ใบ (การ์ดที่มีชื่อเหมือนกันแต่คนละภาพนับว่าเป็นใบเดียวกัน) แต่อย่างไรก็ดี จะมีการ์ดบางใบที่โดนกำจัดใช้งานหรือถูกห้ามใส่ไว้ในเด็ค, ในเอ็คซ์ตร้าเด็ค รวมถึงในไซด์เด็คด้วย) เนื่องจากการ์ดดังกล่าวมีความเก่งกาจและสร้างผลต่อรูปแบบเกมมากเกินไปซึ่งสร้างความได้เปรียบแก่ผู้ใช้งานมากเกิน ทาง OCG Teams จึงต้องสร้างความสมดุลของรูปแบบเกมขึ้นมานี่เอง โดยการจำกัดการ์ดมีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. Forbidden Cards การ์ดที่ห้ามนำใส่ไว้ในเด็ครวมถึงเอ็คซ์ตร้าเด็ค และไซด์เด็ค
2. Limited Card การ์ดที่สามารถใส่ไว้ในเด็ครวมถึงเอ็คซ์ตร้าเด็คและไซด์เด็คได้เพียง 1 ใบ
3. Semi Limited cards การ์ดที่สามารถใส่ไว้ในเด็ครวมถึงเอ็คซ์ตร้าเด็คและไซด์เด็คได้เพียง 2 ใบ
ดูเอลลิสต์สามารถดู Forbidden and Limited Card List ได้ที่ เว็บไซด์หลักของ Konami ได้ที่
www.yugioh-card.com
Monster Token (มอนสเตอร์โทเค่น)
โทเค่นเป็นมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างจากเอฟเฟคของการ์ดซึ่งจะไม่มีรูปร่างของการ์ดจริง โดยโทเค่นนั้นจะไม่ถูกบรรจุไว้ในเด็คหรือในเอ็คซ์ตร้าเด็ค และไม่สามารถนำไปไว้ที่ใดเลยนอกจากบนสนาม เมื่อโทเค่นถูกทำลายหรือถูกนำกลับขึ้นมือหรือเด็ค ให้นำมันออกจากสนามไปแทน เราสามารถใช้การ์ดโทเค่นจากสินค้ายูกิโอหรือใช้เหรียญหรือสิ่งอื่นๆ โดยโทเค่นที่ดีนั้นจำเป็นต้องบอกสภาพรูปแบบของมอนสเตอร์ได้อย่างชัดเจน ( สภาพตั้งโจมตี หรือสภาพตั้งป้องกัน) สภาพของโทเค่นจะถูกนับว่าเป็นสภาพหงายหน้าตลอด และถูกนับเป็นการ์ดมอนสเตอร์เช่นกัน โดยมีตัวอย่าง Official Token ดังนี้
Public Knowledge (ความรู้สาธารณะ)
จำนวนของการ์ดบนมือของผู้เล่น, จำนวนการ์ดในเด็ค หรือจำนวนการ์ดในสุสาน รวมถึงจำนวนไลฟ์พ๊อยต์ของผู้เล่นทั้งหมดนี้ถือว่าเป็น Public knowledge ที่ผู้เล่นสามารถใช้สิทธิ์ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงได้เสมอ ถ้าเราถามข้อมูลในส่วนนี้คู่ต่อสู้จำเป็นต้องตอบข้อมูลที่เป็นความจริงให้แก่ฝั่งตรงข้ามเสมอ
If Both Player conduct action Simultaneously (ถ้าทั้งคู่ทำการกระทำในเวลาเดียวกัน)
หากมีเอฟเฟคการ์ดส่งผลแก่ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย กระทำพร้อมกันเช่น เลือกมอนสเตอร์บนสนามของตัวเองคนละ 1 ตัว เจ้าของเทิร์นที่เกิดเอฟเฟคนี้จะต้องกระทำการกระทำดังกล่าวก่อนเสมอ หลังจากที่เจ้าของเทิร์นทำการเลือกมอนสเตอร์เสร็จ ฝั่งตรงข้ามก็ทำการเลือกต่อจากเราทันที
When multiple cards are activates Simultaneously
(เมื่อมีการใช้งานของการ์ดเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันเป็นจำนวนหลายใบ)
หากมีการ์ดที่มีความเร็ว Spell Speed 1 (เช่นเอฟเฟคทริกเกอร์) เกิดขึ้นพร้อมกันด้วยเอฟเฟคการ์ดบางชนิดการประมวลจะออกมาในลักษณะพิเศษดังนี้
• การเริ่มต้นของการเชนนี้จะเริ่มจากเจ้าของเทิร์น ถ้ามีแค่การ์ดที่ส่งผลเพียงใบเดียว จะถูกนับเป็นเชนที่1 โดยอัตโนมัติ
• หากมีการ์ดที่รอส่งผลมากกว่า 1 ใบ ผู้เล่นเจ้าของเทิร์นจะต้องเรียงลำดับตามเชนของการ์ดที่ตัวเองส่งผลก่อน
• ในกรณีที่เรียงลำดับการเชนเรียบร้อยแล้ว คู่ต่อสู้จึงจะได้สิทธิ์ในการเชนโต้ตอบการ์ดของเราต่อได้
Counter (เคาท์เตอร์)
เอฟเฟคของการ์ดบางใบสามารถสิ่งที่เรียกว่า เคาท์เตอร์ ซึ่งเคาท์เตอร์นี้จะสามารถวางลงบนการ์ดตัวการ์ดได้ตามเอฟเฟคของมันว่าจะสามารถวางลงบนการ์ดชนิดใดได้บ้าง การ์ดจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือมีข้อจำกัดเพิ่มเติมตามที่เอฟเฟคของเคาท์เตอร์นั้นๆ เคาท์เตอร์บางชนิดนั้นจะมีชื่อเรียกเฉพาะเช่น เคาท์เตอร์พลังเวทย์มนต์หรือ เคาท์เตอร์เวลา เมื่อเราจะทำการวางเคาท์เตอร์ลงบนการ์ด เราสามารถนำสิ่งสมมติมาวางไว้บนตัวการ์ดได้ เช่น ลูกเต๋า หรือเหรียญ เป็นต้น
Rules VS Card Effect (กฎ VS เอฟเฟคการ์ด)
หากมีเอฟเฟคการ์ดที่ขัดแย้งกับกฎบางข้อ เอฟเฟคการ์ดจะส่งผลเหนือกฎได้ในบางกรณี เช่น ตามปกติมอนสเตอร์จะสามารถโจมตีได้ 1 ครั้ง ใน 1 แบทเทิลเฟส ซึ่งเอฟเฟคการ์ดบางประเภทจะสามารถทำให้มอนสเตอร์โจมตีได้มากกว่า 1 ครั้งใน 1 แบทเทิลเฟส
Action which cannot be chained to (การกระทำที่ไม่สามารถทำการเชนได้)
การอัญเชิญมอนสเตอร์, การรีลีส หรือการเปลี่ยนรูปแบบสภาพมอนสเตอร์ รวมถึงการจ่าย คอสท์ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำการเชนได้
How to Play and How to Win (วิธีการเล่นและวิธีการชนะ)
การละเล่นใน 1 เกม จะเรียกว่า 1 ดูเอล การดูเอลนั้นจะจบลงได้จะต้องมีผู้ที่ชนะหรือเกิดการเสมอเกิดขึ้น การดูเอลนั้นจะเล่นกัน 2-3 ครั้ง โดยจะเรียกว่า แมตช์ ผู้ที่ชนะ 2 ใน 3 จะถือว่าเป็นผู้ชนะแมตช์
Winning the Duel (การชนะในดูเอล)
ผู้เล่นทุกคนจะมีไลฟ์พ็อยต์เริ่มต้นคือ 8,000 จุด เราจะสามารถชนะคู่ต่อสู้โดยทำให้ไลฟ์พ็อยต์ของคู่ต่อสู้นั้นเป็น 0 หรือ คู่ต่อสู้ไม่มีการ์ดจากเด็คของตัวเองให้จั่ว (เด็คหมด) หรืออาจจะมีเอฟเฟคการ์ดพิเศษที่จะสามารถชนะในดูเอลนั้นๆ ได้ ถ้าเรากับคู่ต่อสู้มีไลฟ์พ็อยต์เป็น 0 พร้อมกัน จะนับว่าเสมอ
Turn Structure (โครงสร้างของเทิร์น)
การดูเอลนั้นจะมีเฟสแต่ละเฟสครอบคลุมอยู่ในหลายๆ เฟส
Turns (เทิร์น)
ในระหว่างดูเอลนั้น ผู้เล่นจะมีเทิร์นของตัวเอง และในแต่ละเทิร์นจะประกอบด้วยเฟสหลักๆ 6 เฟส
Phase (เฟส)
เราจะเข้าสู่เฟสที่กำหนดในเทิร์นของตัวเอง เราสามารถทำกิจกรรมหลายๆอย่างตามที่เฟสแต่ละเฟสได้กำหนดไว้ โดยเฟสหลักจะประกอบด้วย
1. Draw Phase (ดรอว์เฟส)
นี่คือเฟสแรกของทุกเฟสและเป็นจุดเริ่มต้นของเทิร์นของผู้เล่น โดยผู้เล่นผู้นั้นต้องทำการจั่วการ์ดใบบนสุดของเด็คตัวเอง 1 ใบ ผู้เล่นที่ไม่มีการ์ดในเด็คหลงเหลืออยู่ให้ทำการจั่วจะถูกปรับให้แพ้ในการดูเอลนั้น และหลังจากที่ผู้เล่นทำการจั่วเสร็จผู้เล่นสามารถใช้งานเวทย์มนต์, กับดัก หรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์ก่อนที่จะทำการเปลี่ยนไปยังเฟสถัดไปได้
Main Action (กิจกรรมหลัก) = จั่วการ์ด 1 ใบ
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ) = ใช้งานเวทย์มนต์ความเร็วสูง, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
2. Standby Phase (สแตนด์บายเฟส)
จะมีการ์ดบางใบหรือเอฟเฟคบางชนิดที่จะทำงานในเฟสนี้ และผู้เล่นสามารถใช้งานการ์ดกับดัก, การ์ดเวทย์มนต์ความเร็วสูง หรือเอฟเฟคมอนสเตอร์ได้ในเฟสนี้
Main Action (กิจกรรมหลัก) = เลือกทำตามเงื่อนไขของเอฟเฟค
การ์ดที่เกิดขึ้นในเฟสนี้
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ) = ใช้งานเวทย์มนต์ความเร็วสูง, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
3. Main Phase 1 (เมนเฟส 1)
เฟสนี้เป็นเฟสที่ผู้เล่นจะสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ในรูปแบบต่างๆลงสู่สนาม หรือทำการเปลี่ยนรูปแบบสภาพของมอนสเตอร์ว่าจะเป็นหงายหน้าตั้งโจมตีหรือทำการอัญเชิญแบบพลิกหงาย และผู้เล่นก็จะสามารถใช้งานเวทย์มนต์รวมถึงการเซ็ตเวทย์มนต์กับดักไว้ที่โซนเวทย์มนต์กับดัก เป็นต้น
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ)
• Summon or Set a Monster (อัญเชิญหรือเซ็ตมอนสเตอร์)
ไม่มีการจำกัดของการอัญเชิญแบบพลิกหงายหรือการอัญเชิญแบบพิเศษต่อเทิร์น แต่ผู้เล่นสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์หรือทำการเซ็ตมอนสเตอร์ได้เพียง 1 ครั้งต่อเทิร์น เว้นแต่จะมีเอฟเฟคการ์ดบางชนิดที่ทำให้เราทำข้อจำกัดที่ว่านี้ได้อีกครั้ง
• Change Monster Battle Position (เปลี่ยนรูปแบบสถานะมอนสเตอร์)
ผู้เล่นสามารถทำการเปลี่ยนรูปแบบสถานะมอนสเตอร์ของตัวเอง เช่น จากหงายหน้าตั้งโจมตีเป็นหงายหน้าตั้งป้องกัน, จากหงายหน้าตั้งป้องกันเป็นหงายหน้าตั้งโจมตี และ จากคว่ำหน้าตั้งป้องกันเป็นหงายหน้าตั้งโจมตี (อัญเชิญแบบพลิกหงาย)
* การเปลี่ยนรูปแบบสถานะของมอนสเตอร์จะมีข้อจำกัดดังนี้ *
- ผู้เล่นจะไม่สามารถทำการเปลี่ยนรูปแบบมอนสเตอร์ที่เพิ่งทำการอัญเชิญทุกรูปแบบในเทิร์นที่ได้ทำการอัญเชิญนั้นๆ
- ผู้เล่นจะไม่สามารถทำการเปลี่ยนรูปแบบมอนสเตอร์ที่ประกาศโจมตีไปแล้วในเทิร์นนั้นๆ
- ผู้เล่นจะไม่สามารถทำการเปลี่ยนรูปแบบมอนสเตอร์ตัวที่เพิ่งทำการเปลี่ยนรูปแบบไปแล้วในเทิร์นนั้นๆ
• Activate a Card or Card Effect (ใช้งานการ์ดหรือใช้งานเอฟเฟคการ์ด) ผู้เล่นสามารถใช้งานเวทย์มนต์, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์ ได้อย่างอิสระในเฟสนี้
• Set Spell Cards or Trap Cards (เซ็ตการ์ดเวทย์มนต์หรือกับดัก) ผู้เล่นสามารถเซ็ตการ์ดเวทย์มนต์หรือกับดักวางลงบนช่องโซนเวทย์มนต์กับดักได้อย่างอิสระในเฟสนี้
4. Battle Phase (แบทเทิลเฟส)
ในเฟสนี้คือเฟสที่ผู้เล่นจะสั่งการมอนสเตอร์ของตัวเองทำการต่อสู้ ผู้เล่นไม่จำเป็นจะต้องเข้าแบทเทิลเฟสในทุกๆ เทิร์น หากผู้เล่นไม่เข้าแบทเทิลเฟส จะผ่านไปเข้าสู่เอนด์เฟสโดยอัตโนมัติ
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ) = โจมตีไลฟ์ผู้เล่นโดยตรงหรือทำการต่อสู้กับมอนสเตอร์ ใช้งานเวทย์มนต์ความเร็วสูง, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
ในแบทเทิลเฟสจะแบ่งเป็นเฟสย่อยๆ 4 เฟส ดังนี้
4.1 Start Step (สตาร์ทสเต็ป)
ในสเต็ปนี้จะเป็นจุดเริ่มของแบทเทิลเฟส ผู้เล่นควรจะประกาศเข้าแบทเทิลเฟสก่อนจะทำการแบทเทิลทุกครั้ง ทั้งนี้ผู้เล่นที่เป็นฝ่ายเริ่มเล่นก่อนนั้นจะไม่สามารถเข้าแบทเทิลเฟสได้ในเทิร์นแรก
4.2 Battle Step (แบทเทิลสเต็ป)
ในเฟสนี้ผู้เล่นสามารถทำการสั่งมอนสเตอร์ของตัวเองต่อสู้กับมอนสเตอร์หรือโจมตีไลฟ์พ็อยต์ผู้เล่นโดยตรงได้ โดยเลือกมอนสเตอร์ของตัวเอง 1 ตัว จากนั้นเลือกมอนสเตอร์บนสนามของคู่ต่อสู้ 1 ตัวเป็นเป้าหมาย หลักจากนั้นให้ประกาศโจมตี ในกรณีที่คู่ต่อสู้ไม่มีมอนสเตอร์หลงเหลืออยู่บนสนามเลย ผู้เล่นจะสามารถประกาศโจมตีไลฟ์พ็อยต์โดยตรงได้ ทั้งนี้มอนสเตอร์แต่ละตัวจะสามารถประกาศโจมตีได้ตัวละ 1 ครั้ง ใน 1 แบทเทิลเฟสต่อเทิร์น เว้นแต่จะมีเอฟเฟคการ์ดช่วยให้ทำการโจมตีอีกครั้งหนึ่งได้
4.3 Damage Step (ดาเมจสเต็ป)
ในเฟสนี้เป็นเฟสที่จะคำนวณค่าเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้เล่นและมอนสเตอร์
4.4 End Step (เอนด์สเต็ป)
หลังจากที่ผู้เล่นได้ทำการประกาศโจมตีเสร็จแล้วหรือไม่มีมอนสเตอร์ที่จะทำการประกาศโจมตีอีกให้ผู้เล่นประกาศกับคู่ต่อสู้ว่าตนจะจบแบทเทิลเฟสแต่เพียงเท่านี้
5. Main Phase 2 (เมนเฟส 2)
ถ้าผู้เล่นทำการเข้าแบทเทิลเฟสในเทิร์นนั้นจะมี เมนเฟส 2 ต่อเข้ามาทันทีหลังจากผ่านจากการจบแบทเทิลเฟสไปกิจกรรมที่สามารถกระทำได้ในเฟสนี้จะเหมือนกับเมนเฟส 1 ทุกประการ
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ)
• อัญเชิญ, เซ็ต หรืออัญเชิญแบบพิเศษมอนสเตอร์
• เปลี่ยนรูปแบบสภาพของมอนสเตอร์
• ใช้งานการ์ดเวทย์มนต์, กับดักหรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
• เซ็ตการ์ดเวทย์มนต์หรือกับดักลงไปในโซนเวทย์มนต์กับดัก
6. End Phase (เอนด์เฟส)
เฟสนี้เป็นเฟสสุดท้ายและเป็นจุดสิ้นสุดของการเทิร์น และถ้ามีเอฟเฟคประเภททริกเกอร์ที่เกิดขึ้นในเอนด์เฟสจะทำงานในช่วงนี้ และถ้าผู้เล่นเจ้าของเทิร์นมีการ์ดบนมือมากกว่า 6 ใบในช่วงสิ้นสุดของเอนด์เฟส ผู้เล่นต้องเลือกการ์ดบนมือทิ้งลงสุสานจนกว่าการ์ดบนมือจะเท่ากับ 6 ใบ
Main Action (กิจกรรมหลัก) = เลือกทำตามเงื่อนไขของเอฟเฟคการ์ด
ที่เกิดขึ้นในเฟสนี้
เลือกทิ้งการ์ดบนมือให้เท่ากับ 6 ใบ หากเจ้าของเทิร์นมีการ์ดบนมือมากกว่า 6 ใบ
Alternate Action (กิจกรรมอื่นๆ) = ใช้งานเวทย์มนต์ความเร็วสูง, กับดัก หรือเอฟเฟคของมอนสเตอร์
Battle and Chains (การต่อสู้และการเชน)
Damage Step Rules (กฎดาเมจสเต็ป)
ในช่วงของดาเมจสเต็ปนั้นจะมีการ์ดในจำนวนหลายประเภทที่ถูกกำจัดการใช้งาน การ์ดกับดักเคาท์เตอร์ จะสามารถใช้งานได้ปกติ แต่ในส่วนของการ์ดเวทย์มนต์ความเร็วสูงหรือการ์ดกับดักปกติและต่อเนื่องจะสามารถใช้งานได้ในดาเมจสเต็ปได้ก็ต่อเมื่อ เป็นการ์ดที่มีผลต่อค่าเพิ่มลดพลังโจมตีหรือพลังป้องกันเท่านั้น
Attacking a Face Down Card (การโจมตีใส่มอนสเตอร์คว่ำหน้าป้องกัน)
หากเราโจมตีใส่มอนสเตอร์ในสภาพตั้งป้องกัน ให้เปลี่ยนสภาพมอนสเตอร์ตัวที่ถูกโจมตีจากสภาพคว่ำหน้าตั้งป้องกันเป็นสภาพหงายหน้าตั้งป้องกันในตอนดาเมจสเต็ป เราจะได้เห็นค่าพลังป้องกันของมอนสเตอร์ที่ถูกโจมตี และหลังจากนั้นเป็นการคำนวณดาเมจ
Activate Reverse Effect (ใช้งานเอฟเฟครีเวิร์ส)
เมื่อมอนสเตอร์ถูกโจมตีและถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสภาพหงายหน้า เอฟเฟครีเวิรส สามารถทำงานได้และจะทำงานในช่วงคิดคำนวณดาเมจ
Determine Damage (วัดค่าดาเมจ)
การวัดค่าดาเมจขั้นพื้นฐานจะอยู่ที่ ดาเมจจากการต่อสู้ และจะดูจากสภาพรูปแบบการต่อสู้ของมอนสเตอร์ หรือ Battle Position
1. ถ้าเราโจมตีมอนสเตอร์ในสภาพหงายหน้าตั้งโจมตี จะทำการเปรียบเทียบ พลังโจมตี VS พลังโจมตี
2. ถ้าเราโจมตีมอนสเตอร์ในสภาพตั้งป้องกัน ก็จะทำการเปรียบเทียบ พลังโจมตี VS พลังป้องกัน
When You Attack an Attack Position Monster
(เมื่อเราทำการโจมตีมอนสเตอร์ในรูปแบบตั้งโจมตี)

Win (ชนะ)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเรามากกว่าพลังโจมตีของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ มอนสเตอร์ที่ทำการโจมตีจะทำลายมอนสเตอร์ของคู่ต่อสู้และนำส่งไปยังสุสาน โดยส่วนต่างของพลังโจมตีที่มากกว่าจะนำไปหักกับไลฟ์พ๊อยต์ของคู่ต่อสู้
Tie (เสมอ)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเรามีค่าเท่ากับพลังโจมตีของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเสมอ และมอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัวนี้จะถูกทำลายและนำส่งไปยังสุสาน ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ได้รับแบทเทิลดาเมจในกรณีนี้
Lose (แพ้)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเราน้อยกว่าพลังโจมตีของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ มอนสเตอร์ที่มีพลังโจมตีน้อยกว่าจะถูกทำลายจากการต่อสู้และถูกนำส่งไปยังสุสาน โดยส่วนต่างของพลังโจมตีที่มากกว่าจะนำไปหักกับไลฟ์พ๊อยต์ของเรา
When You Attack a Defense Position Monster
(เมื่อเราทำการโจมตีมอนสเตอร์ในรูปแบบตั้งป้องกัน)

Win (ชนะ)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเรามากกว่าพลังป้องกันของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้มอนสเตอร์ที่มีทำการโจมตีจะทำลายมอนสเตอร์ของคู่ต่อสู้และนำส่งไปยังสุสาน ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ได้รับแบทเทิลดาเมจในกรณีนี้
Tie (เสมอ)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเรามีค่าเท่ากับพลังป้องกันของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเสมอ มอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัวนี้จะไม่ถูกทำลาย ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ได้รับแบทเทิลดาเมจในกรณีนี้
Lose (แพ้)
เมื่อเราใช้มอนสเตอร์ของเราโจมตีมอนสเตอร์คู่ต่อสู้หากพลังโจมตีของเราน้อยกว่าพลังป้องกันของมอนสเตอร์คู่ต่อสู้ในกรณีนี้มอนสเตอร์ทั้ง 2 ตัวนี้ จะไม่ถูกทำลาย โดยส่วนต่างของพลังป้องกันที่มากกว่าจะนำไปหักกับไลฟ์พ๊อยต์ของเรา
If Your Opponent has no Monster (ถ้าคู่ต่อสู้ไม่มีมอนสเตอร์)
หากคู่ต่อสู้ไม่มีมอนสเตอร์หลงเหลืออยู่บนสนามของตนเองเลย เราจะสามารถโจมตีไลฟ์คู่ต่อสู้ได้โดยตรง โดยจะนำค่าพลังโจมตีของมอนสเตอร์ที่ทำการโจมตีโดยตรงไปหักกับไลฟ์พ๊อยต์คู่ต่อสู้
What is a Chain? (เชนคืออะไร?)
เชนคือสิ่งที่สามารถบ่งบอกลำดับของผลลัพธ์ของเอฟเฟคการ์ดต่างๆ ได้ จะพบเห็นได้จากสถานการณ์ที่มีการใช้งานเอฟเฟคการ์ดมากกว่า 1 ใบ หรือ เมื่อผู้เล่นต้องการใช้เอฟเฟคการ์ดขั้นระหว่างเอฟเฟคการ์ดใบอื่นที่ยังไม่สำเร็จผลนี่เอง
เมื่อเรามีการใช้งานของเอฟเฟคการ์ดเกิดขึ้น คู่ต่อสู้จะได้สิทธิ์ในการใช้เอฟเฟคการ์ดโต้ตอบได้เสมอ โดยนับว่าเป็นการสร้างเชน หากมีการตอบสนองเกิดขึ้น สิทธิ์ในการเชนก็จะโอนมาที่ตัวเรา และเราก็จะสามารถใช้เอฟเฟคการ์ดเชนต่อได้อีก เมื่อใดที่ผู้เล่นที่ได้รับสิทธิ์ไม่ได้ทำการเชนต่อ ผู้ที่ทำการเชนครั้งล่าสุดจะสามารถเชนเอฟเฟคการ์ดของตนเองต่อได้ ถ้าไม่มีการเชนใดๆ ต่อจากนี้ เอฟเฟคการ์ดจะดำเนินตามเชน โดยจะเริ่มทำการคำนวณผลโดยเริ่มจากเชนสุดท้ายไปยังเชนเริ่มต้นตามลำดับ
เราจำเป็นต้องถามคู่ต่อสู้ก่อนเสมอว่าจะเชนการ์ดเอฟเฟคของเราต่อหรือไม่ ถ้าไม่มีการเชนต่อเราจะสามารถเชนการ์ดของตัวเองต่อได้ หรือทำการ สรุปผลในเอฟเฟคการ์ดนั้นๆ
Spell Speed (สเปล สปีด)
เอฟเฟคของการ์ดทุกชนิดจะมี Spell Speed ระหว่าง 1 – 3 ถ้าเราต้องการจะตอบโต้เอฟเฟคการ์ดในเชนนั้นๆ เราจำเป็นต้องใช้เอฟเฟคการ์ดที่มี Spell Speed 2 หรือมากกว่า และจะไม่สามารถเชนการ์ด Spell Speed ที่มีความเร็วต่ำกว่า Spell Speed ที่รอผลตอบรับในเชนนั้นๆ ได้
การ์ดเวทย์มนต์, การ์ดกับดัก หรือเอฟเฟคมอนสเตอร์จะมี Spell Speed ที่แตกต่างกันออกไป Spell Speed จะมีความเร็ว 1 – 3 เราจะสามารถทำการโต้ตอบเอฟเฟคของการ์ด ด้วยเอฟเฟคการ์ดที่มี Spell Speed ตั้งแต่ 2 ขึ้นไป และต้องมีค่าความเร็วเท่ากับหรือมากกว่า Spell Speed ที่รอการตอบรับนั้นๆ
1. Spell Speed 1
ตัวอย่างการ์ดใน Spell Speed 1
• การ์ดเวทย์มนต์ปกติ
• การ์ดเวทย์มนต์สวมใส่
• การ์ดเวทย์มนต์ต่อเนื่อง
• การ์ดเวทย์มนต์ฟีลด์
• การ์ดเวทย์มนต์พิธีกรรม
• เอฟเฟครีเวริส
• เอฟเฟคสั่งใช้งาน
• เอฟเฟคทริกเกอร์
Spell Speed 1 เป็นความเร็วที่ต่ำที่สุดในบรรดา Spell Speed ทั้งหมด การ์ดประเภทนี้จะไม่สามารถทำการใช้งานเพื่อทำการโต้ตอบเอฟเฟคการ์ดต่างๆ ในเชนได้ หรือจะไม่สามารถอยู่ในเชน 2 หรือมากกว่าได้ เว้นแต่จะเกิดเอฟเฟคของการ์ดที่สามารถใช้งานการ์ดที่มี Spell Speed 1 เกิดขึ้นพร้อมกันหลายๆ ไปได้นี่เอง
2. Spell Speed 2
ตัวอย่างการ์ดใน Spell Speed 2
• การ์ดกับดักปกติ
• การ์ดกับดักต่อเนื่อง
• การ์ดเวทย์มนต์ความเร็วสูง
• เอฟเฟคมอนสเตอร์ประเภทควิก
3. Spell Speed 3 (การ์ดกับดักเคาท์เตอร์)
การ์ดประเภทนี้จะสามารถใช้งานเพื่อโต้ตอบการ์ดที่มีความเร็วเป็น Spell Speed 1 หรือ Spell Speed 2 และจะสามารถใช้งานได้นอกเหนือจากเมนเฟส
Spell Speed 3 เป็นการ์ดที่มีความเร็วสูงสุดในบรรดา Spell Speed ทั้งหมด และสามารถใช้งานเพื่อโต้ตอบการ์ดได้
ในทุกๆ Spell Speed โดยที่การ์ดในบรรดา Spell Speed 3 จะสามารถใช้งานเพื่อการโต้ตอบการกระทำของคู่ต่อสู้โดยเฉพาะ
How to Chain Works (เชนดำเนินการอย่างไร)
Example of a Chain (ตัวอย่างของการการเชน)
ผู้เล่น A ใช้งานการ์ด [พายุใหญ่] และ ผู้เล่น B จึงโต้ตอบโดยการใช้งานการ์ด [โถแห่งความโลภ] ซึ่งใช้งานจากบนสนามในสภาพเซ็ต จากนั้น ผู้เล่น A โต้ตอบโดยใช้งานการ์ด [เครื่องมือ 7 ชนิด ของจอมโจร] ทำให้ การ์ด [โถแห่งความโลภ] ของ ผู้เล่น B ไร้ผลและถูกทำลายทิ้ง
Chain Link 3

เครื่องมือ 7 ชนิด ของจอมโจร : ทำให้การใช้งานของ โถแห่งความโลภไร้ผลและทำลายทิ้ง (Spell Speed 3)
Chain Link 2

โถแห่งความโลภ : จั่วการ์ด 1 ใบ จากในเด็คของเรา (Spell Speed 2)
Chain Link 1

พายุใหญ่ : ทำลายการ์ดเวทย์มนต์และกับดักทั้งหมดบนสนาม
[เครื่องมือ 7 ชนิด ของจอมโจร] ซึ่งเป็นเชนอันดับที่ 3 จะทำการประมวลผลก่อน ผลคือทำให้การใช้งานของ [โถแห่งความโลภ] ถูกทำให้ไร้ผลและทำลายทิ้ง
[โถแห่งความโลภ] ซึ่งเป็นเชนอันดับที่ 2 จะออกผลต่อ แต่ทว่า [เครื่องมือ 7 ชนิด ของจอมโจร] ได้ทำการ ทำให้ [โถแห่งความโลภ] เอฟเฟคไร้ผล ผู้เล่น B จึงจะไม่สามารถทำการจั่วการ์ดจากเอฟเฟคของ [โถแห่งความโลภ] ได้ เนื่องจาก การใช้งานถูกทำให้ไร้ผล
[พายุใหญ่] ซึ่งเป็นอันดับแรกของเชน จะทำงานในช่วงนี้ การ์ดเวทย์มนต์และกับดักทั้งหมดบนสนาม จะถูกทำลายด้วยผลของพายุใหญ่
Turn Player‘s Priority (สิทธิ์เจ้าของเทิร์น)
ผู้เล่นเจ้าของเทิร์นจะมีสิทธิ์ในการใช้งานการ์ดได้ก่อนเสมอ ในแต่ละสเต็ปหรือแต่ละเฟสในเทิร์นของเจ้าของเทิร์น ตราบเท่าที่ผู้เล่นผู้นั่นครอบครองสิทธิ์อยู่ คู่ต่อสู้จะไม่สามารถทำการใช้เอฟเฟคการ์ดหรือทำการใช้งานการ์ดได้จนกว่าเราจะโอนสิทธิ์ให้แก่คู่ต่อสู้ โดยไม่นับเอฟเฟคที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติเช่น เอฟเฟคทริกเกอร์ หรือ เอฟเฟครีเวิร์ส รวมถึงการขอสิทธิ์ในการเชนการ์ดของคู่ต่อสู้การมีสิทธิ์เจ้าของเทิร์นจะสามารถทำการกระทำดังต่อไปนี้ได้
• ใช้สิทธิ์ในการใช้งานการ์ดหรือใช้เอฟเฟคการ์ดก่อนที่คู่ต่อสู้จะโต้ตอบด้วยเอฟเฟคการ์ด
โอนสิทธิ์ให้แก่คู่ต่อสู้ จากนั้นคู่ต่อสู้จะสามารถใช้งานการ์ดหรือใช้การ์ดเอฟเฟคได้
• ผู้เล่นเจ้าของเทิร์นจำเป็นต้องโอนสิทธิ์ให้แก่คู่ต่อสู้เสมอเมื่อเราทำการจบสเต็ปหรือในขณะที่กำลังจะดำเนินการไป ยังเฟสถัดไปหากคู่ต่อสู้ไม่ได้กระทำการใดๆเลย หรือทำการตอบสนองโดยการใช้งานการ์ดหรือใช้เอฟเฟคการ์ด ในช่วงนี้ ก็ให้ดำเนินการไปจนจุดสำเร็จผล และเมื่อเข้าช่วงเริ่มต้นของเฟสถัดไปหรือในช่วงเริ่มของสเต็ปใหม่ๆ สิทธิ์เจ้าของเทิร์นจะกลับมายังเจ้าของเทิร์นตามเดิม
Other Rules (กฎอื่นๆ)
Limited Cards (การ์ดที่ถูกจำกัดในเด็ค)
ตามปกติการ์ดในเด็คของเรา (รวมถึงการ์ดในเอ็คซ์ตร้าเด็คและไซด์เด็ค) เราจะสามารถทำการใส่การ์ดชื่อซ้ำกันได้ไม่เกิน 3 ใบ (การ์ดที่มีชื่อเหมือนกันแต่คนละภาพนับว่าเป็นใบเดียวกัน) แต่อย่างไรก็ดี จะมีการ์ดบางใบที่โดนกำจัดใช้งานหรือถูกห้ามใส่ไว้ในเด็ค, ในเอ็คซ์ตร้าเด็ค รวมถึงในไซด์เด็คด้วย) เนื่องจากการ์ดดังกล่าวมีความเก่งกาจและสร้างผลต่อรูปแบบเกมมากเกินไปซึ่งสร้างความได้เปรียบแก่ผู้ใช้งานมากเกิน ทาง OCG Teams จึงต้องสร้างความสมดุลของรูปแบบเกมขึ้นมานี่เอง โดยการจำกัดการ์ดมีแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. Forbidden Cards การ์ดที่ห้ามนำใส่ไว้ในเด็ครวมถึงเอ็คซ์ตร้าเด็ค และไซด์เด็ค
2. Limited Card การ์ดที่สามารถใส่ไว้ในเด็ครวมถึงเอ็คซ์ตร้าเด็คและไซด์เด็คได้เพียง 1 ใบ
3. Semi Limited cards การ์ดที่สามารถใส่ไว้ในเด็ครวมถึงเอ็คซ์ตร้าเด็คและไซด์เด็คได้เพียง 2 ใบ
ดูเอลลิสต์สามารถดู Forbidden and Limited Card List ได้ที่ เว็บไซด์หลักของ Konami ได้ที่
www.yugioh-card.com
Monster Token (มอนสเตอร์โทเค่น)
โทเค่นเป็นมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างจากเอฟเฟคของการ์ดซึ่งจะไม่มีรูปร่างของการ์ดจริง โดยโทเค่นนั้นจะไม่ถูกบรรจุไว้ในเด็คหรือในเอ็คซ์ตร้าเด็ค และไม่สามารถนำไปไว้ที่ใดเลยนอกจากบนสนาม เมื่อโทเค่นถูกทำลายหรือถูกนำกลับขึ้นมือหรือเด็ค ให้นำมันออกจากสนามไปแทน เราสามารถใช้การ์ดโทเค่นจากสินค้ายูกิโอหรือใช้เหรียญหรือสิ่งอื่นๆ โดยโทเค่นที่ดีนั้นจำเป็นต้องบอกสภาพรูปแบบของมอนสเตอร์ได้อย่างชัดเจน ( สภาพตั้งโจมตี หรือสภาพตั้งป้องกัน) สภาพของโทเค่นจะถูกนับว่าเป็นสภาพหงายหน้าตลอด และถูกนับเป็นการ์ดมอนสเตอร์เช่นกัน โดยมีตัวอย่าง Official Token ดังนี้

Public Knowledge (ความรู้สาธารณะ)
จำนวนของการ์ดบนมือของผู้เล่น, จำนวนการ์ดในเด็ค หรือจำนวนการ์ดในสุสาน รวมถึงจำนวนไลฟ์พ๊อยต์ของผู้เล่นทั้งหมดนี้ถือว่าเป็น Public knowledge ที่ผู้เล่นสามารถใช้สิทธิ์ตรวจสอบหาข้อเท็จจริงได้เสมอ ถ้าเราถามข้อมูลในส่วนนี้คู่ต่อสู้จำเป็นต้องตอบข้อมูลที่เป็นความจริงให้แก่ฝั่งตรงข้ามเสมอ
If Both Player conduct action Simultaneously (ถ้าทั้งคู่ทำการกระทำในเวลาเดียวกัน)
หากมีเอฟเฟคการ์ดส่งผลแก่ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย กระทำพร้อมกันเช่น เลือกมอนสเตอร์บนสนามของตัวเองคนละ 1 ตัว เจ้าของเทิร์นที่เกิดเอฟเฟคนี้จะต้องกระทำการกระทำดังกล่าวก่อนเสมอ หลังจากที่เจ้าของเทิร์นทำการเลือกมอนสเตอร์เสร็จ ฝั่งตรงข้ามก็ทำการเลือกต่อจากเราทันที
When multiple cards are activates Simultaneously
(เมื่อมีการใช้งานของการ์ดเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันเป็นจำนวนหลายใบ)
หากมีการ์ดที่มีความเร็ว Spell Speed 1 (เช่นเอฟเฟคทริกเกอร์) เกิดขึ้นพร้อมกันด้วยเอฟเฟคการ์ดบางชนิดการประมวลจะออกมาในลักษณะพิเศษดังนี้
• การเริ่มต้นของการเชนนี้จะเริ่มจากเจ้าของเทิร์น ถ้ามีแค่การ์ดที่ส่งผลเพียงใบเดียว จะถูกนับเป็นเชนที่1 โดยอัตโนมัติ
• หากมีการ์ดที่รอส่งผลมากกว่า 1 ใบ ผู้เล่นเจ้าของเทิร์นจะต้องเรียงลำดับตามเชนของการ์ดที่ตัวเองส่งผลก่อน
• ในกรณีที่เรียงลำดับการเชนเรียบร้อยแล้ว คู่ต่อสู้จึงจะได้สิทธิ์ในการเชนโต้ตอบการ์ดของเราต่อได้
Counter (เคาท์เตอร์)
เอฟเฟคของการ์ดบางใบสามารถสิ่งที่เรียกว่า เคาท์เตอร์ ซึ่งเคาท์เตอร์นี้จะสามารถวางลงบนการ์ดตัวการ์ดได้ตามเอฟเฟคของมันว่าจะสามารถวางลงบนการ์ดชนิดใดได้บ้าง การ์ดจะถูกเปลี่ยนแปลงหรือมีข้อจำกัดเพิ่มเติมตามที่เอฟเฟคของเคาท์เตอร์นั้นๆ เคาท์เตอร์บางชนิดนั้นจะมีชื่อเรียกเฉพาะเช่น เคาท์เตอร์พลังเวทย์มนต์หรือ เคาท์เตอร์เวลา เมื่อเราจะทำการวางเคาท์เตอร์ลงบนการ์ด เราสามารถนำสิ่งสมมติมาวางไว้บนตัวการ์ดได้ เช่น ลูกเต๋า หรือเหรียญ เป็นต้น
Rules VS Card Effect (กฎ VS เอฟเฟคการ์ด)
หากมีเอฟเฟคการ์ดที่ขัดแย้งกับกฎบางข้อ เอฟเฟคการ์ดจะส่งผลเหนือกฎได้ในบางกรณี เช่น ตามปกติมอนสเตอร์จะสามารถโจมตีได้ 1 ครั้ง ใน 1 แบทเทิลเฟส ซึ่งเอฟเฟคการ์ดบางประเภทจะสามารถทำให้มอนสเตอร์โจมตีได้มากกว่า 1 ครั้งใน 1 แบทเทิลเฟส
Action which cannot be chained to (การกระทำที่ไม่สามารถทำการเชนได้)
การอัญเชิญมอนสเตอร์, การรีลีส หรือการเปลี่ยนรูปแบบสภาพมอนสเตอร์ รวมถึงการจ่าย คอสท์ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำการเชนได้
อยากลองเล่นดูบ้าง
ตอบลบ